แพทย์กล่าวกับ ไรอัน ไวท์ หลังจากพบว่าเขาติดไวรัสเอชไอวี ประกอบกับโรคทางพันธุกรรมที่เขาเป็นอยู่แล้วนั้น มันยิ่งส่งผลให้เขาเสียชีวิตเร็วยิ่งขึ้น
แพทย์วินิจฉัยว่าไรอันน่าจะติดเชื้อเอชไอวีมาตอนถ่ายเลือด ไรอันป่วยด้วยโรคฮีโมฟิเลีย โรคทางพันธุกรรมที่มีอาการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เขาจำเป็นต้องรับแฟคเตอร์VIII จากเลือดบริจาคมาช่วยให้เลือดของไรอันแข็งตัว
ไรอันล้มป่วยด้วยโรคปอดบวม และต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล ในขณะที่แพทย์จะตัดสินใจดำเนินการเกี่ยวกับปอดเขา แพทย์ก็พบว่าเขาติดเชื้อเอชไอวีมานั่นเอง
ไรอันกลายเป็นผู้ป่วยเอดส์ด้วยวัยเพียง 13 ปี
จากการดำเนินชีวิตประจำวัน
โดยที่ไม่ได้ทำอะไรโลดโผนเลยทั้งสิ้น
ในตอนนั้นคือปีค.ศ.1984
มันคือยุคแรกของการระบาดของไวรัสเอชไอวี
มีผู้คนน้อยนักที่จะเข้าใจถึงไวรัสและโรคนี้อย่างถ่องแท้
ไรอัน เด็กหนุ่มชาวรัฐอินดีแอนา พยายามทำใจ
เขารักษาตัวอยู่หลายเดือนกว่าจะกลับไปใช้ชีวิตดังเดิมได้
ไรอันพยายามลืมเรื่องนี้ด้วยการตัดสินใจกลับเข้าไปเรียนที่โรงเรียนเหมือนเดิม และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อต้านที่เต็มไปด้วยความเชื่อผิดๆ
เมื่อไรอันพยายามทำเรื่องขอกลับไปเรียน เด็กนักเรียนที่นั่นต่างต่อต้าน พวกเขาอธิบายว่าต้องพยายามหนีห่างและไม่เข้าใกล้ไรอัน พวกเขาคิดว่าการแค่เข้าไปอยู่ใกล้ๆ ก็อาจทำให้พวกเขาติดเชื้อได้แล้ว
แม้ว่าแพทย์จะพยายามออกมาช่วยอธิบายโรงเรียนถึงข้อเท็จจริงทุกอย่าง แต่พวกเขากลับไม่เชื่อเลย
แม้แต่ครู หรือผู้ปกครองคนอื่นๆ
พวกเขาเลือกที่จะเชื่อตามสิ่งที่บอกต่อๆ กันมา
และสุดท้ายทั้งหมดก็ต่างรวมหัวกันต่อต้านไรอัน ไวท์ ให้ออกไปจากโรงเรียนนี้
จากแรงต่อต้าน ทำให้เจมส์ โอ. สมิธ ผู้อำนวยการโรงเรียนเวสเทิร์นสคูล ปฏิเสธการรับไรอันกลับเข้ามาเรียนดังเดิม
พ่อแม่ของไรอันโมโหมาก
พวกเขาพยายามฟ้องกลับ
ผู้ปกครองและชาวบ้านบริเวณนั้นได้ยินเรื่องนี้เข้า
จึงพยายามกลั่นแกล้งครอบครัวไรอันทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาออกไปจากที่นี่
ไม่ว่าจะเป็นการเจาะยางรถ ปาหินเข้าบ้าน ขู่จะฆ่าพวกเขา และรวมไปถึงการยิงปืนใส่ตัวบ้านของครอบครัวนี้ในยามวิกาล
สุดท้ายไรอันและครอบครัวทนไม่ไหว
พวกเขาต้องย้ายหนีไปเมืองซิเซโร เมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น พวกเขาแปลกใจมากเพราะว่าที่นี่ต้อนรับไรอันเป็นอย่างดีและแทบไม่มีเด็กนักเรียนคนไหนรังเกียจเขาเลย
และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้กลับของไรอันเช่นกัน
บัดนี้เวลาผ่านไปหนึ่งปี ไรอันเลยจุดที่แพทย์วินิจฉัยว่าเขาต้องเสียชีวิตมาหลายเดือนแล้ว เขาจึงใช้เวลาทุกนาทีที่เหลืออยู่ พยายามทำสิ่งที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยกันอีกหลายแสนและหลายล้านคนในอนาคตเอาไว้
ไรอันออกมาเล่าเรื่องราวที่เขาพบเจอมาแก่สื่อมวลชน เขาพยายามให้ความรู้ เพื่อให้ผู้คนทำความเข้าใจกับโรคนี้ใหม่ ว่ามันสามารถอยู่ร่วมกันบนโลกได้
เขายังทำให้ทางการทั่วโลกหันมาใส่ใจคุมเข้มการตรวจเลือดที่ได้รับมาจากการบริจาค รวมถึงความกล้าแสดงออกที่จะรีบมาตรวจเลือดเมื่อตนเองมีความเสี่ยงที่จะเป็น
ตลอดระยะเวลาเกือบสามปีที่ไรอันเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจแก่คนทั่วโลก จนมีคนมีชื่อเสียงมากมายไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้อง หรือนักกีฬาชื่อดัง ต่างเห็นใจและพยายามออกมาช่วยเขาป่าวประกาศในเรื่องราวเหล่านี้
ไม่ว่าจะเป็นเอลตัน จอห์น, ไมเคิล แจ็คสัน
หรืออดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน
ไรอัน ไวท์ เริ่มมีสุขภาพที่แย่ลง
และต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
เอลตัน จอห์น ไปที่โรงพยาบาล
เขายืนกุมมือให้กำลังใจแก่ไรอันจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ไรอัน ไวท์เสียชีวิตลงในเดือนเมษายน ปีค.ศ.1990 เป็นเวลาเกือบหกปีตั้งแต่เขาถูกวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวี
มีคนมีชื่อเสียงมากมายต่างไปร่วมงานศพของเขา ผู้คนต่างโศกเศร้าต่อการจากไปของเขา
เอลตัน จอห์น ร้องเพลง Skyline Pigeon
ในงานศพของไรอัน
ไมเคิล แจ็คสัน เพื่อนสนิทของไรอัน
แต่งเพลง “Gone Too Soon” เพื่อรำลึกถึงการจากไปอันแสนไวของไรอัน
“ผมมีความเชื่ออย่างยิ่งว่าด้วยความอดทน ความเข้าใจและการศึกษาครอบครัวของผม จะเป็นประโยชน์ในการเปลี่ยนความคิดและทัศนคติของพวกเขา”
ไรอัน ไวท์ ผู้พลิกโฉมหน้าความเข้าใจใหม่เรื่องโรคเอดส์
ดูรูปของไรอันได้ในคอมเมนท์